อาคารเสนาสนะและปูชนียวัตถุ ของ วัดวัง (จังหวัดพัทลุง)

กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ 2 ครั้ง ครั้งแรกขึ้นทะเบียนโดยมิได้กำหนดแนวเขต ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478 ครั้งที่ 2 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 102 ตอนที่ 108 วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2528 หน้า 151 (ฉบับพิเศษ) พื้นที่ประมาณ 9 ไร่ 1 งาน 46 ตารางวา[3]

อุโบสถ

พระประธานวัดวัง

อุโบสถเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนหันหน้าไปทางทิศตะวันออก หลังคาทรงไทยมุงด้วยกระเบื้องเคลือบดินเผามีช่อระกาประดับด้วยกระจกสี หน้าบันอุโบสถทั้งสองจำหลักไม้ลงรักปิดทองด้านหน้าแกะสลักเป็นรูปพระพายทรงม้า 3 เศียรประดับด้วยลายกระหนกก้านแย่งรูปยักษ์รูปเทพธิดาและกินรีลงรักปิดทอง ด้านหลังเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ 3 เศียรประกอบด้วยลายกระหนกลงรักปิดทองโดยหน้าบันทั้ง 2 ด้านได้จำลองจากของเดิมเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสงขลา

ตัวอุโบสถเดิมมีขนาดเล็กกว่าปัจจุบัน แต่ได้ปฏิสังขรณ์ใหม่ในสมัยพระยาพัทลุง (ทับ) เมื่อ พ.ศ. 2403 โดยได้ก่อฝาผนังอุโบสถขึ้นมาใหม่ให้มีความกว้างยาวกว่าเดิมด้านหน้าอุโบสถ มีมุขยื่นออกมามีเสากลมรองรับ 2 เสา ภายในมุขมีพระพุทธรูปปูนปั้นประทับนั่งห้อยพระบาทแสดงปางเลไลยก์ มีช้างและลิงปูนปั้นถวายรังผึ้งเป็นศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ ด้านข้างเป็นเสานางเรียงกลมก่อด้วยอิฐถือปูนอยู่บนฐานไพทีรับปีกชายคาด้านละ 7 เสา หัวเสาประดับลายปูนปั้นรูปกลีบบัวหงายอุโบสถมีประตูทางเข้าด้านหน้า 2 ประตูมีบานประตู 4 บาน เดิมมีภาพลายรดน้ำรูปทรงทวารบาลแต่เมื่อ พ.ศ. 2512 ขุนอรรถวิบูลย์ (อรรถ จันทโรจวงศ์) ได้บูรณะใหม่โดยบานประตูด้านขวามือของอุโบสถ 2 บาน แกะเป็นรูปกินรีบานละ 6 คู่ ลงรักปิดทอง ส่วนประตูด้านซ้ายมือแกะเป็นรูปทวารบาล บานแรกรูปเทพธิดาถือดอกไม้ตอนล่างแกะเป็นรูปหนุมานแบกอีกบานหนึ่งแกะเป็นรูปพระนารายณ์ 4 กร ทรงถือสังข์คฑาจักรและตรีทรงพญานาคเป็นพาหนะ ตอนล่างของภาพเป็นรูปหนุมานแบกลงรักปิดทองเหนือขอบประตูทั้ง 2 มีลวดลายปูนปั้นรูปดอกไม้พรรณพฤกษาประกอบด้วยรูปสัตว์ต่าง ๆ ตอนใต้ของภาพเป็นรูปสิงห์โตแบบศิลปะจีนตรงกลางเป็นลายขมวดประสานกันอย่างสอดคล้อง

อุโบสถมีหน้าต่างด้านละ 6 ช่อง ประดับด้วยลวดลายปูนปั้นพรรณพฤกษา บางช่องปั้นเป็นรูปหน้ากาล ลวดลายปูนปั้นทั้งหมดซ่อมใหม่เมื่อ พ.ศ. 2525 ภายในอุโบสถมีพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทองปางมารวิชัยจำนวน 4 องค์[4] ประดิษฐานบนฐานชุกชีย่อมุมไม้สิบสองฐานพระเป็นฐานสิงห์ มีผ้าทิพย์ด้านหน้าพระประธานขนาดหน้าตักกว้าง 2 เมตร มีพระสาวกปูนปั้นประทับยืนพนมมือด้านขวามือ ของพระประธานมีพระพุทธรูปสำริดทรงเครื่องปางห้ามสมุทรพร้อมฉัตร 5 ชั้น สูงรวมฐาน 221 เซนติเมตร ส่วนด้านซ้ายมือของพระประธานมีพระพุทธรูปไม้จำหลักบุด้วยโลหะทรงเครื่องปางอุ้มบาตร 1 องค์มีขนาดสูงฐาน 164 เซนติเมตร ปัจจุบันถูกขโมยไปเมื่อต้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2525 ยังไม่ได้คืนผนังอุโบสถ ผนังอุโบสถทั้ง 4 ด้าน เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นเรื่องพุทธประวัติหรือปฐมสมโพธิ์เทพชุมนุมทั้ง 4 ด้าน เดิมผนังระหว่างช่องหน้าต่างมีภาพเขียนเรื่องทศชาติชาดก แต่ปัจจุบันลบเลือนหมดแล้ว

ระเบียงคดและเจดีย์

รอบอุโบสถมีระเบียงคดล้อมรอบภายในระเบียงประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้น จำนวน 108 องค์ มีเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองจำนวน 2 องค์ อยู่ทางด้านทิศใต้และทิศเหนือของอุโบสถทิศละ 1 องค์ ฐานเจดีย์เป็นชุดฐานสิงห์ย่อมุมมีซุ้มจระนำทั้ง 4 ด้าน ๆ ละซุ้ม องค์ระฆังทรงเหลี่ยมย่อมุมรับกับฐานส่วนยอดเป็นบัวกลุ่ม ด้านหลังอุโบสถมีเจดีย์ทรงกลีบมะเฟือง จำนวน 1 องค์ฐานเป็นชุดฐานสิงห์ย่อมุม 3 ชั้น ชั้นที่ 4 เป็นบัวปากระฆังรูปกลีบมะเฟือง ส่วนยอดเป็นบัวกลุ่มเจดีย์ทรงกลมมีจำนวน 5 องค์ อยู่ทางด้านทิศใต้จำนวน 1 องค์ทิศตะวันออกหน้าอุโบสถ 2 องค์ทิศเหนือ 1 องค์ ทิศตะวันตก 1 องค์ ฐานสิงห์ย่อมุมไม้สิบสององค์ระฆังกลม (ทรงลังกา) ส่วนยอดเป็นบัวกลุ่มและเจดีย์ทรงกลมอันใหญ่อยู่มุมกำแพงวัด ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือก่อด้วยอิฐถือปูน ตามประวัติว่าพระยาพัทลุง (ทับ) สร้างเมื่อ พ.ศ. 2403 ฐานเป็นแปดเหลี่ยมถัดไปเป็นชุดฐานสิงห์ย่อมุม 4 ชั้น เหนือฐานสิงห์เป็นลูกแก้วปากระฆังและองค์ระฆังกลม ส่วนยอดไม่มีบัลลังก์มีแต่ปล้องไฉนและปลียอด ด้านหน้าเจดีย์องค์ระฆังกลมเป็นอนุสาวรีย์พระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก)

ปูชนียวัตถุ

วัดยังมีปูชนียวัตถุที่สำคัญ คือ ธรรมาสน์จำหลักไม้ลายทองรูปดอกไม้พรรณพฤกษา โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เพื่อทรงพระราชอุทิศในงานพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2453 และมีตู้พระธรรมลายรดน้ำ ซึ่งเก็บรักษาไว้ในกุฏิเจ้าอาวาส ลักษณะเป็นตู้สี่เหลี่ยมแบบขาสิงห์ เขียนลายรดน้ำกระหนกก้านแย่งประกอบลายสัตว์[5]